กลายเป็นเกมประวัติศาสตร์อย่างที่ไม่ตั้งใจไปเสีย สำหรับ “แดงเดือด 7.0” ลิเวอร์พูล ขยำขยี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เหมือนเตะกับทีมสมัครเล่น ซึ่งก็ปรากฏเป็นสถิติต่างๆ สารพัดสารพันตามมา โดยเฉพาะว่านี่คือสกอร์ที่ขาดลอยที่สุดในการพบกันของคู่นี้ นับร้อยปีมาแล้ว ลองไปดูกันว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง
– 7 ประตูที่ ลิเวอร์พูล ทำได้ในเกมนี้ มาจากการยิงตรงกรอบเพียง 8 ครั้งเท่านั้น (โอกาสยิงรวม 18 หน)
– ทั้ง โคดี้ กัคโป, ดาร์วิน นูนเยซ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ต่างก็ยิงตรงกรอบในเกมนี้คนละ 2 ครั้ง และได้เป็น 2 ประตูของแต่ละคน เช่นดียวกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่ยิงตรงกรอบหนแรกเป็นประตูทันทีในลูก 7-0
– 7 ประตูในเกมนี้ ทำให้ยอดรวมการพังตาข่ายของ ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ ก้าวกระโดดขึ้นเป็น 47 ประตู ทั้งที่ก่อนเกมเพิ่งทำได้แค่ 40 ลูกจาก 24 นัด
– แมนฯ ยูไนเต็ด ถูกหยุดสถิติพังประตูในพรีเมียร์ลีกได้ติดต่อกัน ไว้ที่ 15 นัด ไม่อาจข้ามผ่านสถิติเก่าของตัวเอง 17 นัด (ก.พ. – ต.ค. 2020) ได้
– แมนฯ ยูไนเต็ด เหลือผลต่างประตูได้เสียแค่ +6 หรือดีกว่าแค่ ฟูแล่ม (+5) ทีมเดียวในครึ่งบนของตารางปัจจุบัน (นิวคาสเซิ่ล +18, ไบรท์ตัน +14, เบรนท์ฟอร์ด +7)
Liverpool FC v Manchester United – Premier League / Michael Regan/GettyImages
– การที่ โคดี้ กัคโป ทำได้ 2 ประตูในเกมนี้ ทำให้เขามีส่วนร่วมกับการทำประตูถึง 25 ลูกใน 22 เกมลีกของซีซั่นนี้ (13 ประตู 12 แอสซิสต์) นับรวมตอนเล่นกับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ด้วย
– โคดี้ กัคโป ยังนับเป็นเพียงนักเตะ ลิเวอร์พูล รายที่ 5 ที่สามารถทำประตูได้ในเกมเหย้าที่พบกับทั้ง เอฟเวอร์ตัน และ แมนฯ ยูไนเต็ด ในซีซั่นเดียวกัน และเป็นคนแรกถัดจาก แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ 2013/14
– โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำลายสถิติการยิงประตูในพรีเมียร์ลีกของ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ได้เป็นที่เรียบร้อย หลังยิง 2 ประตูในเกมนี้ สะสมยอดขึ้นไปที่ 129 ประตู (ซาลาห์ 129, ฟาวเลอร์ 128, ไมเคิ่ล โอเว่น 118)
– ซาลาห์ ลั่นไกใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ถึง 9 ประตูแล้ว มากกว่า เธียร์รี่ อองรี และ เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่ทำไว้ 8 ประตู โดยมีเพียง อลัน เชียเรอร์ ที่ทำได้มากกว่า คือ 10 ลูก (1992-2005)
– ซาลาห์ ยังกลายเป็นนักเตะคนแรกในลีกยุโรป ที่ทำประตูได้ 20 ลูกขึ้น พร้อมๆ กับแอสซิสต์ 10 ครั้งขึ้นไป ในซีซั่นนี้
– แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ทำ 1 แอสซิสต์ในเกมนี้ สะสมยอดแอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีกขึ้นเป็น 55 ครั้ง มากกว่าเพลย์เมกเกอร์อย่าง เอแด็น อาซาร์, เมซุต โอซิล และ ฆวน มาต้า ที่ล้วนแต่ทำได้ 54 ครั้งเท่ากันหมด
– โรเบิร์ตสัน ยังทำแอสซิสต์ให้เพื่อนพังสกอร์ในซีซั่นได้สูงที่สุดในบรรดากองหลัง คือ 9 ครั้ง และมีเพียง เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพแมนฯ ซิตี้ ที่ทำแอสซิสต์ได้เป็นจำนวนมากกว่า (17) ในทุกรายการ
– แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงต้องควานหาชัยชนะใน แอนฟิลด์ ต่อไป จากครั้งสุดท้าย 2015/16 ที่ เวย์น รูนี่ย์ (ปัจจุบันคุมทีม ดีซี ยูไนเต็ด) สังหารประตูโทนพาผีบุกชนะ 1-0 ต้นปี 2016 หรือกว่า 7 ปีมาแล้ว
2016/17 เสมอ 0-0
2017/18 เสมอ 0-0
2018/19 ลิเวอร์พูล ชนะ 3-1
2019/20 ลิเวอร์พูล ชนะ 2-0
2020/21 เสมอ 0-0
2021/22 ลิเวอร์พูล ชนะ 4-0
2022/23 ลิเวอร์พูล ชนะ 7-0
– ยังหมายความต่อมาถึงว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่สามารถยิงประตูได้แม้สักลูกเดียวที่ แอนฟิลด์ เป็นเวลา 4 ปีติดต่อกัน จากลูกสุดท้ายที่ เจสซี่ ลินการ์ด ทำได้ในซีซั่น 2018/19 (ลิเวอร์พูล ชนะ 3-1)
– อีกทั้งลูกเดียวของ เจสซี่ ลินการ์ด (ในสกอร์ 1-1 ก่อนแพ้ 1-3) นั่น ยังเป็นเพียงประตูเดียวถ้วนๆ ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในการมาเยือนแอนฟิลด์ 7 ปีหลังสุด
Liverpool FC v Manchester United – Premier League / Robbie Jay Barratt – AMA/GettyImages
– ลิเวอร์พูล ไม่แพ้เกมพรีเมียร์ลีกหากว่าเป็นฝ่ายขึ้นนำเมื่อสิ้นสุดครึ่งแรก นับตั้งแต่ ธ.ค. 2016 ที่นำ 2-0 แล้วพลิกแพ้ บอร์นมัธ 3-4
– สกอร์ 7-0 คือชัยชนะขาดลอยที่สุดของ ลิเวอร์พูล ที่มีเหนือ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขายิงคู่อริต่างเมืองได้ 7 ลูก โดยเคยทำไว้ในยุคโบร่ำโบราณ ด้วยสกอร์ 7-1 (1895) และ 7-4 (1908)
– ส่วนในยุคพรีเมียร์ลีก (1992/93 เป็นต้นมา) ลิเวอร์พูล ไม่เคยยิง แมนฯ ยูไนเต็ด ได้มากกว่า 5 ประตูมาก่อน โดยเพิ่งเกิดขึ้นในซีซั่นที่แล้ว ที่บุกชนะถึง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 5-0
– อันดับสกอร์ขาดลอยสุดของแดงเดือด
2023 ลิเวอร์พูล ชนะ 7-0
1895 ลิเวอร์พูล ชนะ 7-1
1926 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 6-1
2021 ลิเวอร์พูล ชนะ 5-0
1946 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 5-0
– แมนฯ ยูไนเต็ด เสีย 7 ประตูเป็นครั้งแรกในช่วงเวลา 30 ปีพรีเมียร์ลีก
– ดาบิด เด เคอา ก็เสีย 7 ประตูเป็นครั้งแรกของชีวิตนายทวารมืออาชีพ (578 นัด)
Liverpool FC v Manchester United – Premier League / Michael Regan/GettyImages
– สกอร์ 7-0 ยังนับเป็นความพ่ายแพ้ขาดลอยสุดในประวัติศาสตร์สโมสร แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งหนนี้นับเป็นครั้งที่ 4
1926 แพ้ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 0-7
1930 แพ้ แอสตัน วิลล่า 0-7
1931 แพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 0-7
2023 แพ้ ลิเวอร์พูล 0-7
– การแพ้สกอร์ 0-7 ทั้งหมด ล้วนแต่เกิดขึ้นในนัดเยือน ส่วนเกมเหย้า ที่แพ้ขาดลอยสุดเกิดขึ้นด้วยสกอร์ 1-7 แพ้ นิวคาสเซิ่ล ปี 1927
– อย่างไรก็ตาม เฮดทูเฮดตลอดร้อยกว่าปีที่ผ่านมา แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงเหนือกว่าทาง ลิเวอร์พูล ที่ชัยชนะ 83 ครั้ง เสมอ 58 และ ลิเวอร์พูล ชนะ 71
– การแพ้นัดนี้ ทำให้ผลงานเกมเยือนของ แมนฯ ยูไนเต็ด ออกมาแย่ตรงกันข้ามกับผลงานเกมเหย้า อย่างเห็นได้ชัด เมื่อผลเกมเหย้าสร้างระยะไร้พ่ายไว้ 11 นัด เป็นชนะ 9 เสมอ 2 ปรากฏว่าผลนัดเยือน 10 นัดหลัง ชนะแค่ 4 เท่านั้น (เสมอ 2 แพ้ 4)
แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-6
ชนะ เอฟเวอร์ตัน 2-1
เสมอ เชลซี 1-1
แพ้ แอสตัน วิลล่า 1-3
ชนะ ฟูแล่ม 2-1
ชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน 1-0
เสมอ คริสตัล พาเลซ 1-1
แพ้ อาร์เซน่อล 2-3
ชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 2-0
แพ้ ลิเวอร์พูล 0-7
– จบจากเกมล่าสุดนี้ ลิเวอร์พูล จะไม่ได้เล่นใน แอนฟิลด์ อีกเลยเป็นเวลากว่า 1 เดือน หรือจนกระทั่งต้นเดือน เม.ย. (พบ อาร์เซน่อล) เมื่อในช่วงสิ้นเดือนนี้จะมีคิวทีมชาติมาแทรกพอดี ส่วนทาง แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงต้องเจอโปรแกรมชุกสัปดาห์ละ 2 แมตช์ต่อไปจนกว่าจะถึงเบรคทีมชาติ
– โปรแกรม 5 นัดถัดไปของทั้งสองฝั่ง ประกอบด้วย
ลิเวอร์พูล
11/03 เยือน บอร์นมัธ (พรีเมียร์ลีก)
15/03 เยือน เรอัล มาดริด (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก)
01/04 เยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (พรีเมียร์ลีก)
04/04 เยือน เชลซี (พรีเมียร์ลีก)
09/04 เหย้า อาร์เซน่อล (พรีเมียร์ลีก)
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
09/03 เหย้า เรอัล เบติส (ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก)
12/03 เหย้า เซาแธมป์ตัน (พรีเมียร์ลีก)
16/03 เยือน เรอัล เบติส (ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก)
19/03 เหย้า ฟูแล่ม (เอฟเอ คัพ)
02/04 เยือน นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด (พรีเมียร์ลีก)
Liverpool FC v Manchester United – Premier League / Michael Regan/GettyImages
Source: 90min.com